วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558



ซาไก เป็นชนกลุ่มน้อยเผ่าพันธุ์หนึ่ง อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ป่าเขา ในภาคใต้ของประเทศไทย ตลอดไปจนถึงประเทศมาเลเซีย ซาไก มีชื่อเรียก หลายชื่อ อาทิ ชาวพัทลุงเรียก เงาะ เงาะป่า เนื่องจากเส้นผม ของซาไกหยิก หยองคล้าย เงาะ ที่เป็นผลไม้ ชาวสตูลเรียก ชาวป่า เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ตามป่าเขา ไม่อยู่ในที่ราบโล่ง เหมือนชาวบ้านทั่วไป ชาวไทยมุสลิมแถบ ปัตตานี ยะลา นราธิวาสเรียก ซาแก ซึ่งแปลว่า แข็งแรง หรือป่าเถื่อน เพราะพวกนี้ชอบอยู่ตามป่า และมี ความทรหดอดทนบึกบึน แต่ชาว ไทยพุทธเรียกเพี้ยนไปเป็น ซาไก ชาวมาเลเซียเรียกว่า โอรัง อัสลี (Orang Asli) ซึ่งแปลว่า คนพื้นเมือง หรือคนดั้งเดิม ซึ่งชาวซาไก โดยทั่วไป มีีความรู้สึกที่ดีและพอใจให้คนอื่น เรียกพวกเขาว่า เป็นพวกโอรัง อัสลี เพราะ มีความหมายไปในทำนองยกย่องให้เกียรติว่าพวกเขา เป็นคน ดั้งเดิม เป็นเจ้าของถิ่นเดิม ไม่ใช่พวกป่าเถื่อนอย่างคำว่า ซาไก แต่ซาไก เรียกตัวเองว่า มันนิ ซึ่งแปลว่า มนุษย์
ซาไก เป็นกลุ่มชาติพันธุ์นิกริโต (Nigrito) รูปพรรณสัณฐานของซาไก มีรูปร่างเตี้ย ผิวดำคล้ำ ผมหยิก ขมวดเป็นฝอย จมูกแบนกว้าง ริมฝีปากหนาดำ คิ้วดกหนา นัยน์ตาสีดำเป็นประกาย นิ้วมือนิ้วเท้าโต ชนเผ่าซาไกนี้เป็นพวกที่อพยพเข้ามาอยู่ในแหลมมลายู ภายหลัง ชนเผ่าเซมัง แต่ก็นับว่าซาไกเป็นกลุ่มมนุษยชาติเก่าแก่ที่มีถิ่นฐานอยู่ใน พื้นที่ตอนใต้ของประเทศไทย ตลอดไปจนในประเทศมาเลเซีย และบางส่วนใน ประเทศอินโดนีเซียมาก่อนคนเผ่าอื่นทั้งหมด โดยศึกษาจากประเพณีการฝังศพของ ชาวซาไกปัจจุบันยังมีร่องรอย ตรงกับลักษณะการฝังศพของ คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณยุค หินกลาง (Middle Stone Age ครอบคลุม ระยะเวลาระหว่าง 10,000-6,000 ปีมาแล้ว) ปัจจุบันชาวซาไกในประเทศไทยเป็นชนกลุ่มน้อยที่ชอบอาศัยอยู่ตามป่าใกล้กับ พรมแดนไทยกับมาเลเซีย พบอาศัยอยู่ใน แถบจังหวัดภาคใต้ ของประเทศไทย ที่จังหวัดนราธิวาส ยะลา สตูล และพัทลุง สำหรับ ชาวซาไกที่ จังหวัดยะลา ทางราชการได้จัดสรรพื้นที่อาศัยให้กับชาวซาไกที่บ้านแหร อำเภอธารโต จังหวัดยะลา มีชื่อหมู่บ้านว่า หมู่บ้านซาไก ชาวซาไกทุกคน ในหมู่บ้านนี้จะมีนามสกุลใช้เหมือนกันว่า ศรีธารโต อันเป็นนามสกุลที่สมเด็จ พระราชชนนีศรีสังวาลย์ พระราชทาน ในหมู่บ้านดังกล่าวมีชนเผ่าซาไกอาศัยอยู่ราว 30 คน
โดยทั่วไปแล้ว ซาไกจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ละ 20-50 คน ซาไกมีลักษณะสังคมล่าสัตว์และเก็บของป่า ซึ่งเป็นสังคมของมนุษย์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนไม่อยูู่่เป็นหลักแหล่งที่แน่นอนจะอพยพโยกย้ายที่อยู่อาศัยอยู่เสมอ สาเหตุที่ซาไกอพยพเรื่อย ๆเนื่องจากพวกนั้อาศัยอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เมื่อแหล่งอาหารคือ เผือก มัน ในบริเวณ ที่อยู่อาศัยหมด ลงก็ต้องย้ายไปหาที่อย ู่แห่งใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่า และถ้ามีคนตาย เมื่อฝังศพแล้วจะรีบอพยพหนีไปทันทีเพราะกลัวผีและกลัวเสือมา กินศพและ ทำอันตราย แก่คน ที่เหลืออยู่และเมื่อถ่ายอุจจาระมาถึงที่พักอาศัย ก็จะอพยพย้ายบ้านไป (ซาไกจะถ่ายอุจจาระจากบริเวณรอบนอกที่พักแล้วค่อยๆ วกเข้ามาใกล้ที่พักเรื่อยๆ) และหากมีคนนอกเผ่ามาเจอ และขอลูกไปเลี้ยง ซาไกก็จะรีบอพยพย้ายบ้านหนีเช่นกัน
ชาวซาไก มีภาษาของตัวเอง ภาษาซาไกอยู่ในตระกูลภาษาคำโดด เช่นเดียวกับภาษามอญ-เขมร ในเผ่าซาไกนี้ ยังแบ่งย่อยเป็นกลุ่มชน ตามภาษาอีก ได้แก่ กลุ่มภาษากันซิว ซึ่งเป็น ภาษาที่ชาวซาไกที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลาใช้พูดกลุ่มภาษาแต็นแอ๊น กลุ่มภาษาแตะเดะ กลุ่มภาษายะไฮ แต่สภาพการณ์ในปัจจุบัน พอคาดการณ์ได้ว่า ภาษาซาไกอาจสูญหายไป ในอนาคตอันใกล้ ด้วยสาเหตุใหญ่ ๆ คือ วิถีชีวิตของซาไกปัจจุบันมีการติดต่อกับผู้อื่นมากขึ้นและใช้ภาษาของชนกลุ่มอื่นมากขึ้น มีการติดต่อรับวัฒนธรรม ของชนกลุ่มใหญ ่มากขึ้นทำให้ วัฒนธรรมภาษาของซาไกเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เด็ก ๆ ชาวซาไกรุ่นใหม่จะพยายามใช้ภาษาใกล้ตัว ซึ่งเป็นภาษาของชน ที่มีวัฒนธรรมสูงกว่า เช่น ภาษามลายูและภาษา ไทยกันอย่างแพร่หลาย แม้ชาวซาไกในจังหวัด ยะลาก็สามารถพูดภาษาไทยกับ ผู้ที่ไปเยี่ยมเยือนได้ดี ประกอบกับภาษา ซาไกไม่มีตัวอักษรที่เป็นภาษาเขียน อักษรที่ใช้จึงเป็นอักษร ภาษาไทยหรือภาษามลายูเป็นส่วน มาก
ผู้ชายชาวซาไก แต่งกายโดยใช้เปลือกไม้ ผู้หญิงใช้ย่านไม้พันกายสั้นๆ แต่ก่อนนี้ผู้หญิงแต่งกายกันแบบเงาะอย่างสวยงาม หญิงที่ยัง ไม่มีสามีจะใช้ดอกไม้สีขาวทำตุ้มหู ใช้หวี ไม้ไผ่เสียบผม หรือสวมกำไลข้อมือ ส่วนหญิงมีสามีแล้วจะสวมสร้อยคอลูกประคำ แต่ปัจจุบันลักษณะดังกล่าว สูญหายไปหมดสิ้น ปัจจุบัน ซาไกรับวัฒนธรรมการแต่งกาย อย่าง สังคมชาวเมืองมามาก มีการสวมเสื้อผ้า ผู้หญิงก็นุ่งโสร่ง กระโปรง ผู้ชายก็นุ่ง กางเกง สวมรองเท้าแบบชาวเมืองการยังชีพของซาไกพึ่งพาอาหารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ิอาหารหลัก คือ เผือก มัน ผลไม้ป่าและเนื้อสัตว์ ตามแต่จะหาได้ ผู้หญิงและ เด็กจะขุดหาเผือกมัน ผักผลไม้ในบริเวณใกล้ ๆ ทับ พวกผู้ชายจะออกหาอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในป่า พวกนี้ไม่ทำการ เพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ เวลาล่าสัตว์จะใช้ลูกดอกเป่าไม้ซางข้างในกลวง ลูกดอกทำจากก้านไม้ที่มีความเหนียว เหลาปลายแหลม ทายางอิโป๊ะ เก็บไว้ใน กระบอกไม้ เหน็บเอวเวลาเดินทาง เวลาบรรจุลูกดอกจะมีปุยไม้คล้ายสำลีอัดให้แน่น เพื่อเวลาเป่าจะได้มีกำลังส่ง สัตว์ที่ล่าได้แก่ ลิง ค่าง นก ชะนี ส่วนสัตว์ใหญ่ใช้หอกหรือหลาว แทน (บุญช่วย 2506, น.17-18) เมื่อหาอาหารมาได้เท่าใดก็จะอยู่กินจนหมดเสียก่อนค่อย ออกหาอาหารอีกครั้ง
การตั้งถิ่นฐานของซาไก พวกนี้จะเลือกทำเลที่อยู่อาศัยในภูมิประเทศที่เป็นเนินสูง มักอยู่ตามป่าลึก มีลำธารหรือน้ำตกอยู่ใกล้ ๆ มีสัตว์ป่า เผือก มันอุดมสมบูรณ์ และต้องเป็นบริเวณ ที่มีไม้ซางอยู่ไม่ไกล นัก เพราะซาไกใช้ไม้ซางเป็นอาวุธสำคัญสำหรับล่าสัตว์ ซาไกที่อยู่ป่าเรียกว่า ซาไกตันหยง ส่วนพวกที่ อยู่ตามเขาเรียกว่า ซาไกบูเกต บ้านของซาไก เรียกว่า ทับมีลักษณะเป็นเพิงหมาแหงน สำหรับอาศัย ชั่วคราว ใช้ท่อนไม้สองท่อน ทำเป็นเสา มีไม้พาดกลาง 1 เล่ม ใช้ลำไม้ไผ่พาดให้จดกับพื้นดิน มุงด้วย หลังคาด้วยใบหวาย ใบแฝกหรือใบคาอย่างเพิงหมาแหงน บางหลังคล้ายกระท่อมติดพื้น ดินมีหน้าจั่ว ใช้ใบไม้ สานทำเป็นฝากั้นที่นอนใช้ไม้ไผ่ทำเป็นฟากภายในบ้านมีเตาไฟสุม ทำอาหารและ ให้ความอบอุ่น มักแขวนรวงผึ้งหรือรวงหอย มะพร้าวไว้นอกค่าย เชื่อว่าภูติผีปีศาจจะหันเหความสนใจไปยังรู ูต่าง ๆ ของรวงผึ้งจะได้ไม่รบกวนเวลาหลับนอน รอบ ๆ ค่ายของ ซาไกจะมีรั้วหนาม กั้น ป้องกัน สัตว์ร้าย (บุญช่วย 2506, น.14-15)
ประเพณีการแต่งงานของซาไก เมื่อหนุ่มพอใจสาวคนไหนก็จะมีการฝากรักกันโดยการให้ดอกไม้ อาจเป็นดอกไม้สีแดงหรือสีอื่นๆ ก็ได้ จากนั้นก็ให้พ่อแม่ไปสู่ขอ เมื่อตกลงฝ่ายชาย ก็ไปอยู่บ้านของ ฝ่ายหญิงได้เลย ซาไกนับถือสายตระกูลทั้งพ่อและแม่ เวลาแต่งงาน ผู้ชายต้องทำให้ พ่อแม่ผู้หญิงพอใจ โดยการล่าสัตว์ หาผลไม้มามอบให้พ่อแม่ผู้หญิง และตัว ผู้หญิงด้วย ซาไกจะใช้ชีวิตครอบครัวผัวเดียว เมียเดียว (Monogamy) ชายหญิงในเครือญาติใกล้ชิดกันจะสมรสกันไม่ได้และไม่มีการสำส่อนในเรื่อง เพศ ไม่มีการเป็นชู้กัน ซาไกมีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ และเกรงกลัวปรากฏการณ์ธรรมชาติ ความเชื่อประเภทต่าง ๆ เหล่านี้ อาทิ ความเชื่อในเรื่อง โชคลาง เช่น เมื่อเข้าป่าล่าสัตว์ ให้พูดถึงสัตว์ ที่ ต้องการ เชื่อว่าจะได้ตามที่พูดไว้ ความเชื่อในเรื่องความฝัน เช่น ถ้าหญิงฝันว่ามีคนเอาเล็บเสือ เขี้ยวเสือมาให้เชื่อว่าจะมีสามี ชายฝันว่าล่าหมูจะได้ภรรยา ความเชื่อเรื่องวิญญาณ และภูตผี เช่น เชื่อว่า ตามต้นไม้ใหญ่ ๆ มีผีอาศัยอยู่ เนื่องจากประเพณีปฏิบัติ ในพิธีฝังศพ เมื่อฝังศพเสร็จ หมอผีจะนำวิญญาณไปให้อาศัยที่ต้นไม้ใหญ่ เชื่อว่าต้นไม้ใหญ่จะเป็น บ้านที่อยู่อัน แข็งแรงตลอดไป ความเชื่อเรื่องของ เวทมนตร์คาถา เช่น ีเวทมนตร์คาถาที่ใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ หมอจะเสกหมากพลู แล้วเคี้ยวพ่นลงตรงอวัยวะส่วนที่เจ็บปวด เรียกว่า "ซาโฮซ"



เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมมีโอกาสแจมเดินทางกับเพื่อนๆ ร่วมเดินทางที่แสนจะคฤโหด ในครั้งนี้ เพื่อไปตามหา ชาวป่า ซาไก

เราเดินทางจากหาดใหญ่ จุดหมายปลายทางคือ บนผืนป่าในชุมชน ต.ทุ่งนารี อ.ป่าบอน จ.พัทลุง พื้นที่เทือกเขาบรรทัด โดยมียายแท้ๆของเพื่อนในกลุ่มนี่เระครับเป็นคนนำทาง บนความสูง ภูเขาสามลูกใช้เวลา เกือบสองชั่วโมง อย่างโหดในการเดินทางข้ามห้วย ปีนเขา สุดท้ายเจอกับชาวป่าที่คนเมืองเรียกว่า เงาะป่าซาไก
ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ริมเขา ไม่มีไฟฟ้า แต่จะใช้โซลาเซล เป็นป่าชุมชน ที่บ้านหลังสุดท้ายคือบ้านของยายเอื้อน รุยันต์ นำทางเราและเป็นสื่อกลาง
กับชาวป่าซาไก และเป็นหมู่บ้านอนุรักษ์เผ่าซาไกอีกด้วย

....................................

เริ่มเดินทางกันต่อเลยดีกว่าครับ  สู้ไม่สู้ สู้ไม่สู้  ... ^^  สู้โว้ยยยยยยยยยย

9.00 น. เดินทางขึ้นเขากันเต๊อะเพื่อนๆ   เราเดินทางขี้นเขา บนความสูง ภูเขาสามลูกใช้เวลา เกือบสองชั่วโมง อย่างโหดในการเดินทางข้ามห้วย ปีนเขา โฉมหน้า ยายเอื้อน รุยันต์ นำทางเราและเป็นสื่อกลางกับชาวป่า ถามแกว่า ยายเดินเขาสามลูกเหนื่อยมั้ย แกบอก จิ๊บ


ระหว่างทางเราพบกับลำธาร  เห้ยยยย  นี่มันลำธารในฝันเลยย  น้ำใสมากๆๆๆ เย็น ยายบอกว่า น้ำนี่กินได้เลยน่ะ เพราะธรรมชาติจริงๆ พวกเราเลยไม่พลาดที่จะใช้มือจวักน้ำ  ชื่นใจจจจจ จุงเบย


เดินต่อแถวตามทาง ยายบอกว่า ซาไกบอกให้ยายไปหาถ้าจะไปหาเขาได้ ให้ดูสัญลักษณ์ไม้ที่โดนตัดเป็นทาง เพื่อไปเจอกับพวกเขา  พวกเราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนจะสุดเขาลูกที่หนึ่ง คืออารมณ์แบบว่า เห้ย เมื่อไหร่จะถึงว่ะเนี่ย  เหนื่อย แต่ในใจก็อยากจะเห็นซาไกตัวเป็นๆสักครั้ง อยากรู้ว่าเขาอยู่กันยังไง คือนึกภาพเลยว่า เขาต้องนุ่งใบไม้ กินอะไรกัน นอนกันยังไง  บลาๆๆๆๆๆ

แต่แล้วเราก็ต้องหยุดการเดิน และตกใจเมื่อเห็นภาพของผมเดินทางขึ้นสู่เขาลูกที่สองนั้นคือกลางป่าจริงๆตลอดทางที่ผ่านมา แต่เมื่อมาจุดนี้ กลับกลายเป็นสวนยางพาราเต็มพื้นที่ นี่เระเป็นปัญหารุกที่เข้ามาในเขตป่าด้วยนายทุนและคนมีสีอยู่เบื้องหลัง


รอยเลื่อยไม้ยังใหม่ ไม่เกิน สามวันก่อนที่พวกเราจะมาสำรวจ

ในเมื่อปัจจุบันนี้ป่าซึ่งเป็นบ้านของชาวป่าซาไกกำลังหมดไปด้วยการรุกล้ำเข้ามาตัดไม้ป่าหมด สัตว์ป่าหมด ผมถามพวกเขาว่า เดี่ยวนี้สัตว์มีมากอีกหรือป่าว คำตอบที่ห้วนๆด้วยสำเนียงที่ไม่คุ้นชินสักเท่าไร่ คือ หม้าย(ไม่)มีแล้ว แม้แต่หัวมันที่เคยมีมาก แต่ตอนนี้หายากเต็มที ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆอาจจะส่งผลกระทบกับชาวป่าที่ต้องหลบซ่อน เพราะกลัวคนมาทำร้าย 

และแล้ว เราก็เจอกับสิ่งนี้  แถ้น แถ๊นนนน  แถ้นนนนนนนนนน...

เหมือนจะดีใจเราเจอแล้วทับเก่า (ที่พัก) แต่ยายนำทางบอกว่าเขาย้ายไปแล้ว ซวย แล้วตู แล้วพวกเขาไปอยู่ไหนกันเนี่ย

ยายขึ้นเขาสามลูกพร้อมเรา แต่พวกผ้มมมม คลานขึ้นเขาาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว นับไม่ถ้วน  ยายบอก เดี่ยวก็รู้ ใจเย็นๆ ลูกเอ้ยยยยย อยู่สักพัก ยายเห็นอะไรบางอย่าง  เห็นอะไรเหรอ  ไม้ไผ่ ห๊ะ ไม้ไผ่ นี่คือโค้ชลับดีๆนี่เอง ยายบอก มันหันลูกศรไปทางข้างบน แสดงว่า .... คือโผ้ม กับ เพื่อน ต้องขี้นเขาอีกแล้วล่ะครับท่านนนนนน    มัวรออะไรอยู่ล่ะ   รีบไปสิพวกเอ็ง ... ครับบ ผมมม  TT


หลงป่า ครับ หาทับชาวป่าซาไกไม่เจอ ยายบอกว่ายายก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า พวกชาวป่า เขาบอกให้ยายเดินตามทางไม้หัก ซึ่งผมเพิ่งรู้น่ะเนี่ยว่า ตามทางที่ยายนำมา เราเดินตามทางได้หักที่เขาทำไว้
ตล๊อดดด

ในที่สุดเราก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง  คิดในใจ เด็กร้อง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  เห้ยยยย เรามาถึงแล้วววว ครับบบบบ.....////


ครอบครัว เมื่อเหนื่อยกับการขึ้นเขา สิ่งที่ทำให้พวกเราหายเหนื่อยได้ คือการเห็นรอยยิ้มของพวกเขา ครั้งแรกที่เราไปพบเจอ พวกเขาอยู่ด้วยกันในที่พัก เรียกว่าทับ มีสมาชิกด้วยกัน 8 คน หญิง 2 คน และ ชาย 7 คน หนึ่งในนั้นคือ เจ้าไผ่ ลูกชายของตุ้ม ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงสิบห้าวันเท่านั้น ตัวแดงเหมือนลูกหนูเลย ไม่มีใครอยากจะเลือกเกิดขึ้นในสภาพแบบนี้หลอก แต่นี่อาจเป็นเพราะผีป่าเขา หรือ เป็นเพราะดวงที่ผูกพันธ์ที่ทำให้ เจ้าไผ่ เกิดมาอยู่ในครอบครัวของ ชาวป่า

หม่ำนมแม่ มนุษย์ทุกคนรักลูก ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้อยู่ท่ามกลางความเจริญ ไม่รู้จักคนอื่นเลย ชีวิตอยู่ในป่า เกิดในป่า ตายในป่า
แต่นี่คือความสุขของเขา ที่ไม่เคยเบียดเบียนใครเลยในโลกนี้

สมาชิกที่เกิดใหม่ท่ามกลางป่าใหญ่ คนล่าสุดที่มีหน้าที่อยู่กับป่าเป็นดัชนีชี้วัดว่า ฝืนป่าแห่งนี้จะมีมนุษย์คนนึง ที่เขาต้องเรียนรู้และสืบทอด สายเลือดของชาวป่าต่อไป ซึ่งถ้าคนเมืองมาเห็นถึงกับว่าเสียดายที่เด็กที่เกิดใหม่นั้นไม่ได้รับสวัสดิการใดๆเลยในสังคม แต่นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดของคนเมืองเองที่อยากได้ อยากมี แต่พวกเขาดำรงเผ่าพันธุ์ มาเป็นร้อยเป็นพันปี เกิดในป่ามีพ่อเป็นคนทำคลอดตัดสายสะดือด้วยไม้ไผ่ เกิดในทับที่อยู่และมีญาติๆต่างให้กำลังใจ อยู่ก็อยู่ในป่า หากินได้มาวันนี้หมดวันนี้ พรุ่งนี้หากินใหม่ ตายก็ตายในป่า พวกเขายังอยู่ได้ พวกเขาไม่รู้อายุ ไม่รู้วันเวลา มีแต่นับนิ้วมือนิ้วเท้า แลหวัน(ดูดวงตะวัน) ว่าวันนี้ผ่านพ้นไปพวกเขามีวิถีชีวิตด้วยการแบ่งปัน มีความซื่อสัตย์ ไม่พูดอ้อมค้อม เพราะเค้าไม่มีวัฒนธรรมเหมือนดังคนเมือง แต่สิ่งที่ผมได้เห็นและสำผัสได้นั้น คือความจริงใจ ที่นับวันคนเมืองต่างก็ไม่มี หรือ มีน้อยเต็มทีในปัจจุบัน



น้องไผ่ อายุ 15 วัน ลืมตาดูโลก ท่ามกลางพ่อกับแม่ และญาติ กลางป่าเขา ที่พวกเขาเรียกว่า บ้าน ผมเข้าไปผมรู้ตัวดีเลยว่า เรายังมีเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในโลกนี้เพียงแต่พวกเขา ไม่ขอที่จะเรียกร้องสิทธิ์ใดๆ เกิดขึ้นมาลืมตาดูโลกแล้ว เด็กเกิดมามิใช่เพียง เขามาเกิดเท่านั้น แต่คงเป็นเพราะเจ้าป่า เจ้าเขา เลือกให้เขามาเกิด เกิดเป็นลูกชาวป่า ยังดีกว่าลูกชาวเมือง ที่ต่างแก่งแย่ง อยากได้อยากมี ถ้าเขาพูดได้เขาคงพูดว่า ดีแล้วที่ฉันเกิดมาแล้วไม่เสียชาติเกิด..

ที่อยู่ของพวกเขา เรียกว่า ทับ ทำด้วยไม้และใบไม้มามุงเป็นเพิงหมาแหงน ไว้กันแดดกันฝน และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ กองไฟ ที่ไว้คอยกันสัตว์และให้ความอบอุ่นกับพวกเขาทั้งครอบครัว โฉมหน้า หัวหน้าทับ อยู่ใต้ทับของเขา คนนี้ชื่อว่าเฒ่าพาส เป็นหัวหน้าทับ


พวกเขากินสัตว์ป่า ลิง ค่าง กระรอก หัวมัน รากไม้ที่เอามาเป็นยาสมุนไพร น้ำจากลำธาร และเถาวัลย์ แต่นั่นมันก็หายากเหลือเกิน บางทีก็หาของป่าไปแลกข้าวสาร ไปแลกไข่ไก่ แลกปลา กับคนข้างล่าง แต่เราก็หันไปเห็น ฮั่นนนนแน่ๆๆๆ เฒ่าพล จัดวงสวิง เอ้ยย จัดท่าเป่าลูกดอกให้เราดู โคตรแม่น ลูกดอกอาบยาพิษ จากยางไม้ ไว้ล่าสัตว์ครับ



ได้เวลาเราก็กลับลงมาจากเขา แล้วเดินทางกลับอีกเส้นทาง บอกเลยว่า  ขาขึ้นเหนื่อยแค่ไหน ขาลง เหนื่อยกว่าเยอะ ทางชัน มืด เห้ยยย มืด เหรอ บ่ายโมงกว่านี้น่ะ มืด  ดูสิมืดยังไง

กลางป่าดิบชื้น ภาพนี้ถ่ายโดยไม่ได้ปรับแต่งใดๆ ถ่าย เวลา 13.00 จะเห็นว่า บรรยากาศปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่จนไม่ค่อยเห็นแสงอาทิตย์
แต่ขาลงเร็วหน่อย เราเลยแวะล้างหน้า ล้างมือที่ลำธารสายเดียวกันตอนขาขึ้น สดชื่นเยอะเลย

ลงมาถึงบ้านยาย เราก็นึกถึงเลยว่าการปรับตัวโดยมีชุมชนที่คอยหนุนให้ชาวป่ายังคงอยู่ในพื้นที่เดิมไม่ต้องย้ายข้ามจังหวัดตามแนวเขา คือตาเม่น และยายเอื้อน รุยันต์ ที่คอยปกป้องผืนป่าและชาวป่ากลุ่มสุดท้ายที่อยู่ในเขตนี้ ยายเล่าว่า เขาไม่ได้เป็นคนเถื่อนอย่างที่คนอื่นคิด แต่เขามีวัฒนธรรมอย่างนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ท่านรักชาวป่า เหมือนลูกหลานคนหนึ่งในบ้านแต่ในด้านที่แตกต่างกันคือ สถานะทางสังคม การได้รับสวัสดิการทางสังคมที่ไม่ได้มาถึง แต่ชาวป่าก็ไม่ได้เรียกร้องสิทธิ์ใดๆแถมมีแต่จะดีใจอีกด้วยที่เขาได้อยู่ในสถานะของเขา วิถีชีวิตที่เรียบง่ายอยู่กับป่า กินกับป่าแต่สิ่งที่พวกเขาอยากได้มากกว่าอื่นใดคงเป็นการใช้จิตสำนึกของคนเมืองมากกว่าในการเข้ามาอนุรักษ์ป่า หยุดการเป็นประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าส่วนรวมเพื่อที่จะได้เห็นชนชาวป่าที่จะอยู่คู่กับผืนป่าในชุมชน ต.ทุ่งนารี อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ชาวป่าจะได้อยู่กับป่าที่พวกเขาควรจะอยู่และเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ ด้านมนุษยวิทยา และ เห็นอัตลักษณ์ หรือนี่เป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของฝืนป่าอีกต่อไป